ข้อบังคับของสมาคมนักระบาดวิทยาภาคสนาม
ข้อ 3. สํานักงานของสมาคมตั้งอยู่ เลขที่ 88/21 ชั้น 3 อาคาร 11 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ ตําบลตลาดขวัญ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ
4.1 จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และเครือข่ายระหว่างผู้ที่ปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม และผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 เป็นศูนย์กลางในการพบปะของสมาชิกและผู้สนใจเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
4.3 ระดมทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษา งานวิจัย และงานบริการ ด้านระบาดวิทยาภาคสนามตลอดจนการพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมในการ
สอบสวน ป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ
4.4 ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาชีพและสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
4.5 สร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย และงานระบาดวิทยาภาคสนามในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติของสมาชิกและผู้ที่
เกี่ยวข้อง
4.6 สนับสนุนและร่วมกับโครงการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนาม (International Field Epidemiology Training Program-Thailand
or FETP) จัดงานชุมนุมศิษย์เก่า FETP (ไทยและนานาชาติ) และกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง
4.7 สนับสนุนหรือร่วมดําเนินการจัดอบรมด้านระบาดวิทยาร่วมกับกองระบาดวิทยา เช่น หลักสูตร Introductory Course on Field
Epidemiology (June Course)
4.8 ช่วยเหลือและร่วมมือกับหน่วยงานของราชการและองค์กรต่างๆ ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ ความรู้และการดําเนินงานทาง
วิชาการเกี่ยวกับระบาดวิทยา
4.9 ไม่ดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ
4.1 จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และเครือข่ายระหว่างผู้ที่ปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม และผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 เป็นศูนย์กลางในการพบปะของสมาชิกและผู้สนใจเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
4.3 ระดมทุนเพื่อสนับสนุนการศึกษา งานวิจัย และงานบริการ ด้านระบาดวิทยาภาคสนามตลอดจนการพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมในการ
สอบสวน ป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ
4.4 ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาชีพและสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
4.5 สร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย และงานระบาดวิทยาภาคสนามในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติของสมาชิกและผู้ที่
เกี่ยวข้อง
4.6 สนับสนุนและร่วมกับโครงการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนาม (International Field Epidemiology Training Program-Thailand
or FETP) จัดงานชุมนุมศิษย์เก่า FETP (ไทยและนานาชาติ) และกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง
4.7 สนับสนุนหรือร่วมดําเนินการจัดอบรมด้านระบาดวิทยาร่วมกับกองระบาดวิทยา เช่น หลักสูตร Introductory Course on Field
Epidemiology (June Course)
4.8 ช่วยเหลือและร่วมมือกับหน่วยงานของราชการและองค์กรต่างๆ ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ ความรู้และการดําเนินงานทาง
วิชาการเกี่ยวกับระบาดวิทยา
4.9 ไม่ดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
หมวดที่ 2 สมาชิก
ข้อ 5. สมาชิกของสมาคมมี 3 ประเภท คือ
5.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่ ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรระบาดวิทยาของกระทรวงสาธารณสุข
5.2 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ บุคคลที่สนใจในกิจกรรมของสมาคม
5.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือ ผู้มีอุปการคุณ แก่สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิก
ของสมาคม
ข้อ 6. สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
6.2 เป็นผู้มีความประพฤติเป็นที่ยอมรับของสมาคม
6.3 เป็นผู้ที่สนใจในงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
ข้อ 7. ค่าลงทะเบียน และค่าบํารุงสมาคม
7.1 สมาชิกสามัญและวิสามัญ จะต้องเสีย
ค่าลงทะเบียน 500 บาท
ค่าบำรุงสมาคม 1,500 บาท
7.2 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบํารุงสมาคม
7.3 การเปลี่ยนการเรียกเก็บและกําหนดอัตราค่าลงทะเบียนและ ค่าบํารุงสมาคมให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม โดยการเสนอ
ขอคณะกรรมการสมาคม
ข้อ 8. การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ยื่นใบสมัคร ตามแบบ ของสมาคมต่อเลขานุการโดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 2 คนพร้อม กับหลักฐาน คือ รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 3 รูป หน้าตรงไม่ใส่แว่นและสวมหมวก การรับเป็นสมาชิกต้องผ่านการพิจารณาของที่ประชุม คณะกรรมการ โดยเลขานุการเป็นผู้นําเสนอ เมื่อที่ประชุมลงมติให้รับผู้สมัครเป็นสมาชิกได้ เลขานุการจะเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการลงทะเบียนและชําระค่าบํารุง
ข้อ 9. สมาชิกภาพจะสมบูรณ์เมื่อผู้สมัครได้ลงทะเบียน และชําระค่าบํารุงตามกฎของสมาคม และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารสมาคมเรียบร้อยแล้ว เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน
ข้อ 10. สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับหนังสือตอบรับคําเชิญ ของผู้ที่ คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อ 11. สมาชิกภาพของสมาชิก ให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุดังต่อไปนี้
11.1 ตาย
11.2 ลาออกโดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและคณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติและสมาชิกผู้นั้นได้ชําระหนี้สินที่ยัง
ติดค้างอยู่กับสมาคมเป็นที่เรียบร้อย
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมหรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลงชื่อออกจากทะเบียน เนื่องจากสมาชิกผู้นั้นได้นําความเสื่อมเสียมา
สู่สังคมหรือสมาคมอย่างร้ายแรง
ข้อ 12. สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีสิทธิโดยเสมอภาค ภายในขอบเขตของวัตถุประสงค์และระเบียบของสมาคม
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้นมา
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่าง ๆ ในที่
ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด เพื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญได้ ในการนี้คณะกรรมการบริหารต้อง
จัดให้มีการประชุมภายใน 30 วัน นับแต่วันร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคม
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงและกิจกรรมของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ข้อ 5. สมาชิกของสมาคมมี 3 ประเภท คือ
5.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่ ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรระบาดวิทยาของกระทรวงสาธารณสุข
5.2 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ บุคคลที่สนใจในกิจกรรมของสมาคม
5.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือ ผู้มีอุปการคุณ แก่สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิก
ของสมาคม
ข้อ 6. สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
6.2 เป็นผู้มีความประพฤติเป็นที่ยอมรับของสมาคม
6.3 เป็นผู้ที่สนใจในงานด้านระบาดวิทยาภาคสนาม
ข้อ 7. ค่าลงทะเบียน และค่าบํารุงสมาคม
7.1 สมาชิกสามัญและวิสามัญ จะต้องเสีย
ค่าลงทะเบียน 500 บาท
ค่าบำรุงสมาคม 1,500 บาท
7.2 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบํารุงสมาคม
7.3 การเปลี่ยนการเรียกเก็บและกําหนดอัตราค่าลงทะเบียนและ ค่าบํารุงสมาคมให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม โดยการเสนอ
ขอคณะกรรมการสมาคม
ข้อ 8. การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ยื่นใบสมัคร ตามแบบ ของสมาคมต่อเลขานุการโดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 2 คนพร้อม กับหลักฐาน คือ รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 3 รูป หน้าตรงไม่ใส่แว่นและสวมหมวก การรับเป็นสมาชิกต้องผ่านการพิจารณาของที่ประชุม คณะกรรมการ โดยเลขานุการเป็นผู้นําเสนอ เมื่อที่ประชุมลงมติให้รับผู้สมัครเป็นสมาชิกได้ เลขานุการจะเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อการลงทะเบียนและชําระค่าบํารุง
ข้อ 9. สมาชิกภาพจะสมบูรณ์เมื่อผู้สมัครได้ลงทะเบียน และชําระค่าบํารุงตามกฎของสมาคม และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารสมาคมเรียบร้อยแล้ว เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน
ข้อ 10. สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับหนังสือตอบรับคําเชิญ ของผู้ที่ คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อ 11. สมาชิกภาพของสมาชิก ให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุดังต่อไปนี้
11.1 ตาย
11.2 ลาออกโดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและคณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติและสมาชิกผู้นั้นได้ชําระหนี้สินที่ยัง
ติดค้างอยู่กับสมาคมเป็นที่เรียบร้อย
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมหรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลงชื่อออกจากทะเบียน เนื่องจากสมาชิกผู้นั้นได้นําความเสื่อมเสียมา
สู่สังคมหรือสมาคมอย่างร้ายแรง
ข้อ 12. สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีสิทธิโดยเสมอภาค ภายในขอบเขตของวัตถุประสงค์และระเบียบของสมาคม
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้นมา
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่าง ๆ ในที่
ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด เพื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญได้ ในการนี้คณะกรรมการบริหารต้อง
จัดให้มีการประชุมภายใน 30 วัน นับแต่วันร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคม
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงและกิจกรรมของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
หมวดที่ 3 การดำเนินกิจการสมาคม
ข้อ 13. ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ เป็นผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรระบาดวิทยา ของกระทรวงสาธารณสุข ทําหน้าที่บริหารกิจการของสมาคม มีจํานวนอย่างน้อย 7 คน อย่างมากไม่เกิน15 คน ได้มาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้เลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ เลือกตั้งกันเอง เป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 1 คน สําหรับตําแหน่งกรรมการในตําแหน่งอื่นๆ ให้นายกฯ เป็นผู้แต่งตั้ง ตําแหน่งของกรรมการสมาคมมีตําแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังนี้
13.1 นายกสมาคม ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอกและทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และการประชุมใหญ่ของสมาคม
13.2 อุปนายก ทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคม ปฏิบัติหน้าที่ที่นายกสมาคมได้มอบหมาย และทําหน้าที่แทนนายกสมาคม เมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทําหน้าที่แทนนายกสมาคม ให้อุปนายกตามลําดับตําแหน่งเป็นผู้กระทําการแทน
13.3 เลขานุการ ทําหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสมาคม ในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคําสั่งของนายกสมาคม ตลอดจน ทําหน้าที่เป็นเลขานุการ ในการประชุมคณะกรรมการและการประชุมใหญ่ของ สมาคม
13.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคมเป็นผู้จัดทําบัญชี รายรับ รายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคมและเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ ของสมาคมไว้เพื่อการ ตรวจสอบ
13.5 ปฏิคม มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับผู้มาเยือนสมาคม จัดเตรียมสถานที่ของสมาคม และ จัดเตรียมสถานที่การประชุมต่างๆ ของสมาคม
13.6 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงานกับเหรัญญิก ในการเรียกเก็บค่าบํารุงสมาคมจากสมาชิก
13.7 ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
13.8 วิชาการ มีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลวิชาการและจัดประชุมวิชาการ
13.9 กรรมการตําแหน่งอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกําหนดให้มีขึ้นโดยมีจํานวนเมื่อรวมกับตําแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้วจะต้องไม่เกินจํานวน ที่ข้อบังคับได้ กําหนดไว้ คณะกรรมการใดที่มิได้กําหนดตําแหน่งไว้ให้ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ทั้งนี้ คณะกรรมการสามารถแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งหรือหลายคน เป็นที่ปรึกษาสมาคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือในกิจการทั่วไปของสมาคมก็ได้
ข้อ 14. คณะกรรมการของสมาคม สามารถอยู่ในตําแหน่งได้คราวละ 3 ปี ยกเว้นกรรมการชุดแรกจะมีวาระเพียง 1 ปี แล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตําแหน่งครบกําหนดตามวาระแล้ว ให้มีการเลือกตั้งใหม่จากสมาชิกสามัญ และให้คณะกรรมการที่ครบกําหนดวาระทําการส่งรับมอบงานให้เสร็จสิ้น ในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับตําแหน่ง
ข้อ 15. ในการเลือกตั้งคณะกรรมการสมาคม ให้ทําการเลือกจากสมาชิกสามัญในที่ประชุมใหญ่ประจําปี โดยการเสนอชื่อผู้ที่เห็นสมควรเป็นกรรมการต่อที่ประชุม แต่ละชื่อจะต้องมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 3 ท่าน การคัดเลือกกระทําโดยการเขียนชื่อที่ถูกเสนอ ไม่เกินจํานวนกรรมการที่จะเลือกตั้งลงในบัตรตามแบบ ที่กําหนดไว้ ส่งให้คณะกรรมการตรวจนับคะแนน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดตามลําดับ คือผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง
ข้อ 16. ถ้าตําแหน่งกรรมการสมาคมต้องว่างลงก่อนครบกําหนดตามวาระ ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญ คนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดํารงตําแหน่งแทนตําแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ที่ดํารงตําแหน่งแทนอยู่ใน ตําแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น
ข้อ 17. กรรมการอาจจะพ้นจากตําแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
17.1 ตาย
17.2 ลาออก
17.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
17.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตําแหน่ง เนื่องจากนําความเสื่อมเสียมาสู่สังคมหรือสมาคมอย่างร้ายแรง
ข้อ 18. กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตําแหน่งกรรมการ ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรนายกสมาคม และให้พ้นจากตําแหน่งเมื่อคณะกรรมการอนุญาตให้ออก
ข้อ 19. อํานาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
19.1 มีอํานาจออกระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติโดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ ขัดต่อ ข้อบังคับฉบับนี้
19.2 มีอํานาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
19.3 มีอํานาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษา หรือ อนุกรรมการ จะ สามารถอยู่ในตําแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
19.4 มีอํานาจในการเรียกประชุมใหญ่สามัญประจําปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
19.5 มีอํานาจแต่งตั้งกรรมการในตําแหน่งอื่นๆ ที่ยังมิได้กําหนดไว้ในข้อบังคับฉบับนี้
19.6 มีอํานาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดจนมีอํานาจอื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับได้กําหนดไว้
19.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงิน และทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
19.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญจํานวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด
ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
19.9 มีหน้าที่จัดทําเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงินทรัพย์สินและการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
19.10 จัดทําบันทึกการประชุมต่างๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
19.11 มีหน้าที่อื่นๆ ตามที่ข้อบังคับนี้ได้กําหนดไว้
ข้อ 20. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 21. การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงมากเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 22. ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคม ไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นประธานการประชุม
ข้อ 13. ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ เป็นผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรระบาดวิทยา ของกระทรวงสาธารณสุข ทําหน้าที่บริหารกิจการของสมาคม มีจํานวนอย่างน้อย 7 คน อย่างมากไม่เกิน15 คน ได้มาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้เลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ เลือกตั้งกันเอง เป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 1 คน สําหรับตําแหน่งกรรมการในตําแหน่งอื่นๆ ให้นายกฯ เป็นผู้แต่งตั้ง ตําแหน่งของกรรมการสมาคมมีตําแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังนี้
13.1 นายกสมาคม ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอกและทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และการประชุมใหญ่ของสมาคม
13.2 อุปนายก ทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคม ปฏิบัติหน้าที่ที่นายกสมาคมได้มอบหมาย และทําหน้าที่แทนนายกสมาคม เมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทําหน้าที่แทนนายกสมาคม ให้อุปนายกตามลําดับตําแหน่งเป็นผู้กระทําการแทน
13.3 เลขานุการ ทําหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสมาคม ในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคําสั่งของนายกสมาคม ตลอดจน ทําหน้าที่เป็นเลขานุการ ในการประชุมคณะกรรมการและการประชุมใหญ่ของ สมาคม
13.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคมเป็นผู้จัดทําบัญชี รายรับ รายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคมและเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ ของสมาคมไว้เพื่อการ ตรวจสอบ
13.5 ปฏิคม มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับผู้มาเยือนสมาคม จัดเตรียมสถานที่ของสมาคม และ จัดเตรียมสถานที่การประชุมต่างๆ ของสมาคม
13.6 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงานกับเหรัญญิก ในการเรียกเก็บค่าบํารุงสมาคมจากสมาชิก
13.7 ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
13.8 วิชาการ มีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลวิชาการและจัดประชุมวิชาการ
13.9 กรรมการตําแหน่งอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกําหนดให้มีขึ้นโดยมีจํานวนเมื่อรวมกับตําแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้วจะต้องไม่เกินจํานวน ที่ข้อบังคับได้ กําหนดไว้ คณะกรรมการใดที่มิได้กําหนดตําแหน่งไว้ให้ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ทั้งนี้ คณะกรรมการสามารถแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งหรือหลายคน เป็นที่ปรึกษาสมาคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือในกิจการทั่วไปของสมาคมก็ได้
ข้อ 14. คณะกรรมการของสมาคม สามารถอยู่ในตําแหน่งได้คราวละ 3 ปี ยกเว้นกรรมการชุดแรกจะมีวาระเพียง 1 ปี แล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตําแหน่งครบกําหนดตามวาระแล้ว ให้มีการเลือกตั้งใหม่จากสมาชิกสามัญ และให้คณะกรรมการที่ครบกําหนดวาระทําการส่งรับมอบงานให้เสร็จสิ้น ในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับตําแหน่ง
ข้อ 15. ในการเลือกตั้งคณะกรรมการสมาคม ให้ทําการเลือกจากสมาชิกสามัญในที่ประชุมใหญ่ประจําปี โดยการเสนอชื่อผู้ที่เห็นสมควรเป็นกรรมการต่อที่ประชุม แต่ละชื่อจะต้องมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 3 ท่าน การคัดเลือกกระทําโดยการเขียนชื่อที่ถูกเสนอ ไม่เกินจํานวนกรรมการที่จะเลือกตั้งลงในบัตรตามแบบ ที่กําหนดไว้ ส่งให้คณะกรรมการตรวจนับคะแนน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดตามลําดับ คือผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง
ข้อ 16. ถ้าตําแหน่งกรรมการสมาคมต้องว่างลงก่อนครบกําหนดตามวาระ ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญ คนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดํารงตําแหน่งแทนตําแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ที่ดํารงตําแหน่งแทนอยู่ใน ตําแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น
ข้อ 17. กรรมการอาจจะพ้นจากตําแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
17.1 ตาย
17.2 ลาออก
17.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
17.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตําแหน่ง เนื่องจากนําความเสื่อมเสียมาสู่สังคมหรือสมาคมอย่างร้ายแรง
ข้อ 18. กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตําแหน่งกรรมการ ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรนายกสมาคม และให้พ้นจากตําแหน่งเมื่อคณะกรรมการอนุญาตให้ออก
ข้อ 19. อํานาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
19.1 มีอํานาจออกระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติโดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ ขัดต่อ ข้อบังคับฉบับนี้
19.2 มีอํานาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
19.3 มีอํานาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษา หรือ อนุกรรมการ จะ สามารถอยู่ในตําแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
19.4 มีอํานาจในการเรียกประชุมใหญ่สามัญประจําปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
19.5 มีอํานาจแต่งตั้งกรรมการในตําแหน่งอื่นๆ ที่ยังมิได้กําหนดไว้ในข้อบังคับฉบับนี้
19.6 มีอํานาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดจนมีอํานาจอื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับได้กําหนดไว้
19.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงิน และทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
19.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญจํานวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด
ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
19.9 มีหน้าที่จัดทําเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงินทรัพย์สินและการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
19.10 จัดทําบันทึกการประชุมต่างๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
19.11 มีหน้าที่อื่นๆ ตามที่ข้อบังคับนี้ได้กําหนดไว้
ข้อ 20. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 21. การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงมากเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 22. ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคม ไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นประธานการประชุม
หมวดที่ 4 การประชุมใหญ่
ข้อ 23. การประชุมใหญ่ของสมาคม 2 ชนิดคือ
23.1 ประชุมใหญ่สามัญ
23.2 ประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 24. คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจําปีๆ ละ 1 ครั้ง
ข้อ 25. การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นสมควรจัดให้มีขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยการ เข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมดร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น
ข้อ 26. การแจ้งกําหนดนัดประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกําหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิก ทุกคนได้รับทราบ และการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทางจดหมายหรือทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบุวัน เวลา และสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้ง กําหนดนัดประชุมไว้ ณ สํานักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกําหนดการประชุม
ข้อ 27. การประชุมใหญ่สามัญประจําปีจะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
27.1 แถลงผลการปฏิบัติกิจกรรมที่ผ่านมาในรอบปี
27.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
27.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกําหนดวาระ
27.4 เลือกตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี
27.5 เรื่องอื่นๆ ถ้ามี
ข้อ 28. ในการนับองค์ประชุมให้ดำเนินการดังนี้
28.1 ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญ ที่คณะกรรมการเห็นสมควร จัดให้มีขึ้น ต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อย กว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด แต่ไม่น้อยกว่า 9 คน จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม ถ้าไม่ครบองค์ประชุมใหญ่ประจําปีครั้งแรก ให้จัดประชุมใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากเวลาได้ล่วงเลย มาแล้วไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่จะต้องไม่เกิน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้เลื่อนการประชุมในครั้งแรก สําหรับการประชุมในครั้งหลังนี้ ถ้ามีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจํานวนเท่าใดก็ให้ถือว่าครบองค์ประชุม
28.2 กรณีการประชุมใหญ่วิสามัญที่เกิดขึ้น ด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด (ตามข้อ 25) หากสมาชิกสามัญเข้าประชุมไม่ครบ 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด ให้ถือว่าการประชุมเป็นอันยกเลิก
28.3 ให้สามารถนับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้
ข้อ 29. การลงมติต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ถ้าข้อบังคับมิได้กําหนดไว้เป็น อย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 30. ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มา ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทําการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่งให้ทําหน้าที่เป็นประธาน ในการประชุมคราวนั้น
ข้อ 23. การประชุมใหญ่ของสมาคม 2 ชนิดคือ
23.1 ประชุมใหญ่สามัญ
23.2 ประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 24. คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจําปีๆ ละ 1 ครั้ง
ข้อ 25. การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นสมควรจัดให้มีขึ้นหรือเกิดขึ้นด้วยการ เข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมดร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น
ข้อ 26. การแจ้งกําหนดนัดประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกําหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิก ทุกคนได้รับทราบ และการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทางจดหมายหรือทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบุวัน เวลา และสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้ง กําหนดนัดประชุมไว้ ณ สํานักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกําหนดการประชุม
ข้อ 27. การประชุมใหญ่สามัญประจําปีจะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
27.1 แถลงผลการปฏิบัติกิจกรรมที่ผ่านมาในรอบปี
27.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
27.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกําหนดวาระ
27.4 เลือกตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี
27.5 เรื่องอื่นๆ ถ้ามี
ข้อ 28. ในการนับองค์ประชุมให้ดำเนินการดังนี้
28.1 ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญ ที่คณะกรรมการเห็นสมควร จัดให้มีขึ้น ต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อย กว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด แต่ไม่น้อยกว่า 9 คน จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม ถ้าไม่ครบองค์ประชุมใหญ่ประจําปีครั้งแรก ให้จัดประชุมใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากเวลาได้ล่วงเลย มาแล้วไม่น้อยกว่า 15 วัน แต่จะต้องไม่เกิน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้เลื่อนการประชุมในครั้งแรก สําหรับการประชุมในครั้งหลังนี้ ถ้ามีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจํานวนเท่าใดก็ให้ถือว่าครบองค์ประชุม
28.2 กรณีการประชุมใหญ่วิสามัญที่เกิดขึ้น ด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด (ตามข้อ 25) หากสมาชิกสามัญเข้าประชุมไม่ครบ 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด ให้ถือว่าการประชุมเป็นอันยกเลิก
28.3 ให้สามารถนับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้
ข้อ 29. การลงมติต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ถ้าข้อบังคับมิได้กําหนดไว้เป็น อย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 30. ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มา ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทําการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่งให้ทําหน้าที่เป็นประธาน ในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5 ที่มาของรายได้ การเงิน และทรัพย์สิน
ข้อ 31. ที่มาของรายได้สมาคมมาจากสมาชิก กิจกรรมของสมาคม การบริจาค และรายได้อื่นๆ โดย การเงินและ ทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้นําฝากไว้ในธนาคาร ในนามสมาคม โดยการเบิกถอนให้กระทําได้โดยลงลายมือชื่ออย่าง น้อย 2 ใน 4 ของกรรมการบริหารสมาคมที่เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอน
ข้อ 32. การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคมจะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทําการแทนลงนาม ร่วมกับเหรัญญิกหรือเลขานุการพร้อมกับประทับตราของสมาคม จึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 33. ให้นายกสมาคม เลขานุการ และเหรัญญิก มีอํานาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 100,000.- บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน), 50,000.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) และ 10,000.- บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ตามลําดับ ถ้าเกินกว่านั้นแต่ไม่เกิน 1,000,000.- บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ สมาคม โดยการขอมติจากที่ประชุม ถ้าเกินกว่า 1,000,000.- บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ต้องได้รับอนุมัติจาก ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม
ข้อ 34. ให้เหรัญญิกมีอํานาจเก็บรักษาเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่า จํานวนนี้จะต้องนําฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอํานวยได้
ข้อ 35. เหรัญญิกจะต้องทําบัญชี รายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลให้ถูกต้องตามหลัก การบัญชี และการรับหรือ จ่ายเงินทุกครั้งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทําการแทนร่วมกับ เหรัญญิกหรือผู้ทําการแทนพร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 36. ผู้ตรวจสอบบัญชีจะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต เท่านั้น
ข้อ 37. ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตมีอํานาจหน้าที่ในการเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงิน และทรัพย์สินจาก คณะกรรมการและสามารถจะเรียกกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและ ทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 38. คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต เมื่อได้รับการร้องขอ
ข้อ 31. ที่มาของรายได้สมาคมมาจากสมาชิก กิจกรรมของสมาคม การบริจาค และรายได้อื่นๆ โดย การเงินและ ทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้นําฝากไว้ในธนาคาร ในนามสมาคม โดยการเบิกถอนให้กระทําได้โดยลงลายมือชื่ออย่าง น้อย 2 ใน 4 ของกรรมการบริหารสมาคมที่เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอน
ข้อ 32. การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคมจะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทําการแทนลงนาม ร่วมกับเหรัญญิกหรือเลขานุการพร้อมกับประทับตราของสมาคม จึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 33. ให้นายกสมาคม เลขานุการ และเหรัญญิก มีอํานาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 100,000.- บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน), 50,000.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) และ 10,000.- บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ตามลําดับ ถ้าเกินกว่านั้นแต่ไม่เกิน 1,000,000.- บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ สมาคม โดยการขอมติจากที่ประชุม ถ้าเกินกว่า 1,000,000.- บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) ต้องได้รับอนุมัติจาก ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม
ข้อ 34. ให้เหรัญญิกมีอํานาจเก็บรักษาเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่า จํานวนนี้จะต้องนําฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอํานวยได้
ข้อ 35. เหรัญญิกจะต้องทําบัญชี รายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลให้ถูกต้องตามหลัก การบัญชี และการรับหรือ จ่ายเงินทุกครั้งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทําการแทนร่วมกับ เหรัญญิกหรือผู้ทําการแทนพร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 36. ผู้ตรวจสอบบัญชีจะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต เท่านั้น
ข้อ 37. ผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตมีอํานาจหน้าที่ในการเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงิน และทรัพย์สินจาก คณะกรรมการและสามารถจะเรียกกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและ ทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 38. คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาต เมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6 การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 39. ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้นและองค์ประชุมใหญ่ จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด แต่ไม่น้อยกว่า 9 คน มติของที่ประชุมใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิก สามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 40. การเลิกสมาคมจะเลิกได้ก็ต่อเมื่อมีมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุ ของ กฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคมจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญ ที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดและองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
ข้อ 41. เมื่อสมาคมต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตามทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากที่ได้ชําระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ตกเป็นของมูลนิธิสุชาติ เจตนเสน (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการ กุศลและสาธารณประโยชน์เท่านั้น)
ข้อ 39. ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้นและองค์ประชุมใหญ่ จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด แต่ไม่น้อยกว่า 9 คน มติของที่ประชุมใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิก สามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 40. การเลิกสมาคมจะเลิกได้ก็ต่อเมื่อมีมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุ ของ กฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคมจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญ ที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมดและองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
ข้อ 41. เมื่อสมาคมต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตามทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากที่ได้ชําระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ตกเป็นของมูลนิธิสุชาติ เจตนเสน (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการ กุศลและสาธารณประโยชน์เท่านั้น)
หมวดที่ 7 บทเฉพาะกาล
ข้อ 42. ข้อบังคับฉบับนี้นั้น ให้เริ่มใช้บังคับได้ตั้งแต่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
ข้อ 43. เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่ม ก่อตั้งทั้งหมดเป็น สมาชิกสามัญ
ข้อ 42. ข้อบังคับฉบับนี้นั้น ให้เริ่มใช้บังคับได้ตั้งแต่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
ข้อ 43. เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่ม ก่อตั้งทั้งหมดเป็น สมาชิกสามัญ